ในแต่ละปีช่วย Q4 ของหลายๆ บริษัท ก็จะเริ่มกำหนดเป้าหมายของปีหน้ากันแล้ว ซึ่งทางบริษัทที่ผมทำงาน (MyOrder) ก็เช่นเดียวกันและด้วยความที่เราอยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมในการช่วยกันพาไปให้ถึงเป้าหมายที่ว่างไว้เลยมีกิจกรรมวันนี้เกิดขึ้น

โดยมีทาง ผมและกอร์ฟ ที่เป็น Engineering Manager ทำหน้านี้เป็น Lead ในกิจกรรมนี้ รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องคนอื่นๆ

เราทั้ง 2 คน ต่างก็มีวิธีในการเปลี่ยน Goals ไปเป็น Features ที่แตกต่างกันอยู่นิดหน่อยเลยต้องมาคุยกันก่อนว่าจะไปกันท่าไหน ก็ได้ประมาณหนึ่ง แล้วมีน้องฝันมาเสริมให้อีกนิดหน่อย เลยทำให้กิจกรรมนี้กลมกล่อมขึ้น

การเดินทางจาก Strategy สู่ Product Roadmap
ในแต่ละปี Product Owner จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Product Roadmap ที่ถูกวางไว้ว่า แต่ละปี (เป็นอย่างต่ำ) จะต้องทำอะไรบ้าง ต้องทำฟีเจอร์ไหนบ้าง หรือต้องปรับปรุงส่วนไหน ตอนที่ผมทำงานอยู่กับบริษัท startup ผมจะต้องวางแผน product roadmap กั

วิธีของผมเป็นตัวนี้ Goal ไปเป็น features -> product roadmap

เนื่องจาก meeting นี้ เป็น meeting ที่นัด C-Level, Manager, Tech Lead, PO Head, Lead ของทุกๆ ฝ่ายมา ซึ่งถ้าคิดมูลค่าของ meeting นี้ นับได้ว่าเป็น meeting ที่มูลค่าสูงเลยละ ผลลัพธ์ที่ได้จึงต้องสูงตามไปด้วย ดังนั้นเลยจัดเป็น workshop ขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น ไอเดียต่างๆ ออกมาได้อย่างเต็มที่

ก่อนที่จะไปเริ่มต้นกัน ขอบอกก่อนว่า ผมไม่สามารถเอาสิ่งที่เกิดขึ้นใน workshop มาให้ดูได้ ดังนั้น ผมจะยกตัวอย่างแค่นิดๆ หน่อยๆ นะ (ข้อมูลสมมตินะ)

เอ๊าาาาา มาเริ่มกันเลย


1.What's product gonna be? (บริษัท/products ของเรามันเป็นยังไง)

เนื่องจากเรามากันหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น Business, Marketing, Accounting, Tech, Admin เป็นต้น

ดังนั้นถ้าหากเราเริ่มต้นด้วยการโยน goal แล้วให้ทุกคนคิด features เลยก็คงไม่ได้ (เงียบเป็นป่าช้าแน่ๆ)

Setup Overview

เราต้องหาวิธีที่ให้ทุกคนได้ตั้งต้นก่อน ซึ่งน้องฝันเป็นคนเสนอขึ้นตอนนี้มา โดยได้แนวคิดที่ว่า ต่างคนก็ต่างมีมุมมองเป็นของตัวเอง เราเลยต้องมา set ทุกคนกันก่อนเลยว่า

เรามอง บริษัท/products ของเราเป็นยังไง?

ซึ่งเป็นการเซ็ตอัพให้ทุกคนเห็นภาพรวมของ product ของเรา (อาจจะขยับไปมองในมุมบริษัทก็ได้ หากว่าเรามี products หลาย)

โดยเราจะเริ่มต้นจาก ถามแต่ละคนว่า แต่ละคนมอง product ของเราเป็นยังไง

เช่น

  • เป็นระบบหลังบ้านที่ช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าจัดการสินค้าได้ดีขึ้น
  • เป็น product ที่มีความคุ้มค่า
  • One stop service (ครบวงจร)
  • เป็นต้น

จาก มุมมองของแต่ละคน เราสามารถมองออกมาเป็น keyword ที่สำคัญๆ ได้

ยกตัวอย่าง เช่น

MyOrder เป็น Product ที่ ช่วยพ่อค้าแม่ค้าจัดการงาน ตั้งแต่ต้นจนจบในราคาที่คุ้มค่า

เท่านี้เราก็ได้นิยามที่ตรงกันแล้ว ทีนี้ ผมขอขีดตรงคำว่า "ตั้งแต่ต้นจนจบ" คำนี้ แปลว่า ระบบเราช่วยพ่อค้าแม่ค้าได้ในทุก state ของการขายของ ตั้งแต่

  • Pre-Delivery: Chat, Live, AI, Stocks
  • Delivery: Shipping, Drop-off, Tracking
  • Post-Delivery: CRM, Dashboards, Reports

จะเห็นได้ว่า product ของเรา มี features ที่รองรับการใช้งานในแต่ละ state อยู่แล้ว และ features เหล่านี้เป็น as..is ตั้งต้นสำหรับคิด ideas อื่นๆ ตามมา

Add New Ideas

จาก features ที่มีอยู่ในข้อแรก เราจะลองชิมลางกันก่อน โดยการให้ทุกคน เสริม ideas หรือ features ที่ควรจะมีเพิ่มหรือปรับปรุงให้ดีขึ้นเข้าไป ขั้นตอนนี้ เรายังไม่ได้คาดหวัง idea เจ๋งๆ ออกมาเท่าไหร่ เพราะเป็นเหมือนการวอร์มเครื่องให้ผู้เข้าร่วมทุกคนได้เริ่มคิด idea กัน


2.As..Is information

เมื่อเราพอมีไอเดียบ้างแล้ว สิ่งที่จะทำต่อไปเลย คือ แล้วตอนนี้พวกเราอยู่กันตรงจุดไหน?

หลักการง่ายๆ เลย

ถ้าเราไม่รู้ว่าปัจจุบันเราอยู่จุดไหน เราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าระยะห่างระหว่างเป้าหมายมันห่างเท่าไหร่

เช่น

ถ้าเราตั้งเป้าหมายไว้ว่า อยากเพิ่มรายได้ในปีหน้าเป็น 1,000 ล้านบาท

แล้วปีที่ผ่านมา เรามีรายได้กี่บาท?

สมมติว่า ปีนี้เรามีรายได้ 500 ล้านบาท แสดงว่า ปีหน้าเราต้องการโตอีก 1 เท่าตัว (100%)

โดยในส่วนนี้เราจะใช้วิธีคิดในการหาเงินเพิ่ม ที่ว่า

รายรับ - รายจ่าย = กำไร

โดย เราจะแยก 2 ส่วน คือ

การเพิ่มรายได้ (Revenue) ให้บริษัท

การทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้ายอมจ่ายเงิน หรือ เพิ่มยอดให้ลูกค้าก็ได้ ส่วนนี้ขึ้นอยู่กับ Business Model ของแต่ละ products

เช่น

Busiess ของบริษัท e-commerce คือ การเก็บค่า Fee จากแต่ละ Order ของร้านค้า นั่นแปลว่า ถ้าเราสามารถทำให้ร้านค้าขายของเพิ่มได้ จะเท่ากับ เรามีรายได้เพิ่มด้วยเป็นต้น

การลด รายจ่าย (Costs) ให้บริษัท

ลองคิดดูว่า ถ้า รายได้ของเราเข้ามาเยอะ แต่รายจ่ายของเราก็เยอะตามไปด้วย ตัวกำไรของเราก็แบบจะไม่ขยับเลย ดีไม่มีอาจจะกำไรลดลงไปด้วย เหมือนกับการที่เราพยายามตักน้ำเข้าไปในโอ่ง แต่โอ่งเราดันมีรูรั่ว น้ำก็จะเต็มยากขั้นนั่นเอง

ดังนั้น การที่เรามาลงรายละเอียดเรื่องเหล่านี้ก่อนจะทำให้เห็นว่า เราต้องปรับปรุงหรือปิดรอยรั่วตรงไหนก่อนหรือเปล่า

ที่สำคัญ ความเสี่ยงของเรื่องนี้ คือ การที่เราไม่รู้ว่า เรามีรูรัวตรงไหนบ้าง เป็นความเสี่ยงที่ทำให้เราไปไม่ถึงเป้าหมายได้

ส่วนนี้เราจะเริ่มกันที่ 4 Keyword หลักๆ ได้แก่

1.Metrics

เป็นตัวเลขของแต่ละกิจกรรม หรือ ข้อมูลของระบบ เช่น จำนวน transactions ที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน, แอดมีใช้เวลาแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าใช้เวลากี่นาที, การเงินต้องออกไปกำกับภาษีเดือนละกี่ใบ

ตัวเลขเหล่านี้ จะทำให้เราเห็นว่า ปัจจุบันเราเป็นยังไง costs ไปรั่วที่จุดไหน

ตัวอย่าง เช่น

การเงินไม่สามารถเรียกเก็บได้ปีละ 5 ล้านบาท ส่วนนี้ถือเป็นรูรั่วใหญ่ๆ เลยก็ว่าได้ ที่ทำให้รายได้เราหายไป ลองคิดดูว่า ถ้าหากเราจะไปที่เป้าหมาย 1,000 ล้านบาท นั่นแปลว่า เรามีโอกาศจะเสียเงินในส่วนนี้เพิ่มเป็น 10 ล้านบาท หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้

อีกตัวอย่าง คือ เรามีจำนวนลูกค้าที่ยอมจ่ายเงินกับเราอยู่ที่ 10% สิ่งนี้สามารถเอาไปหาสาเหตุได้ว่า ทำไมอีก 90% ถึงไม่ยอมจ่ายเงิน แล้ว improve ให้มันเพิ่มขึ้นได้

Pinpoints

ต่อมาอะไรบ้างที่เป็น painpoints ซึ่งเราจะเอาออกมาทั้งหมดเลย ไม่ว่า จะเป็นของลูกค้า, พนักงานแต่ละฝ่าย, ระบบ เขียนมาให้หมด

Ideas

การเปิดพื้นที่ใช้แต่ละฝ่ายได้เสนอไอเดียได้นั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะแต่ละคนที่ทำงานอยู่หน้างานจะเห็นมุมมองที่ต่างจากคนที่อยู่ข้างหลัง ดังนั้นไอเดียบางอย่างจากคนหน้างานจะช่วยให้เรา improve หรือ วิธีการใหม่ๆ ก็ได้

Costs

อันนี้ง่ายๆ ตรงไปตรงมา เราเสีย costs ไม่กับอะไรบ้าง

Costs ในที่นี้ หมายถึง เงิน, กำลังคน, เวลา, และ Resoureces อื่นๆ

ตัวอย่าง เช่น

ค่า server เดือนละเท่าไหร่ cost ส่วนไหนเยอะสุด หรือ เราเสียเวลากับการออกใบกำกับภาษีไปกี่ชั่วโมงต่อเดือน เป็นต้น

เมื่อเรารีดทุกอย่างออกมาแล้ว เราจะเห็นว่า เรามีจุดไหนที่ต้องปรับปรุงบ้าง รวมถึง เราพอจะประเมินได้ว่า ถ้าเราจะทำให้ได้ตามเป้าหมาย สิ่งเหล่านี้น่าจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่

กิจกรรมเพิ่มเติม

หลังจากได้ข้อมูล painpoints มาแล้ว เราได้ลองให้แต่ละฝ่ายลองหยิบ painpoints ของตัวเองมา แล้วลองคิดวิธีแก้กัน​ ซึ่ง painpoints บางอย่างอาจจะแก้ยาก แต่บางอย่างอาจจะแก้ได้ง่ายๆ (Quick win) ทำให้เราสามารถลด costs ตรงส่วนนั้นได้เลยทันทีก็ได้

ซึ่งสามารถใช้หลักการ Value and Effort ได้เลย

เเรงที่ลงคุ้มทุนหรือเปล่า?
หลายต่อหลายครั้งที่ทีมของเราจะต้องพัฒนาของออกมา หลายต่อหลายครั้งเราก็ทุ่มแรงไปกับของที่ไม่ได้สร้าง value ให้แก่ user หรือ stakeholder เท่าไหร่ ปัญหาในการเลือกหยิบเอาของไปพัฒนานั้นมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ซึ่งเกิดได้ทั้งจาก Project Owner หรือ Project Manager ไม่มี

Value & Effort


3.Product compatibility

ส่วนนี้เป็นส่วนของการเปรียบเทียบ product ของเรา กับ product ของคู่แข่ง ซึ่งส่วนนี้เป็น part ของ Product Owner กับ Marketing ที่จะมาช่วยกันลงรายละเอียด

(ซึ่งเราจะ run ไปพร้อมกันกับ กิจกรรมเพิ่มเติม ของข้อ 2.)

โดยส่วนนี้ก็ง่ายๆ เลย

เริ่มต้นด้วยการ Lists Features ที่เรามีหรืออยากจะมีออกมาก่อน จากนั้นมองหาคู่แข่งของเรา ซึ่งเราจะได้ 2 แกน

จากนั้นให้เรา ระบุแต่ละ features ว่า

  • ใส่ 〇 ถ้าเราหรือคู่แข่งมี feature นั้น
  • ใส่ ★ ถ้าเราหรือคู่แข่งมี feature ที่ดีกว่าคนอื่นๆ
  • ใส่ ✗ ถ้าเราหรือคู่แข่งยังมี feature

เมื่อเราทำส่วนนี้เสร็จแล้ว เราจะเห็นว่า เรามีอะไร คู่แข่งมีอะไร และ เราชนะเรื่องไหนและแพ้เรื่องไหน

จากนั้น เรามาลงรายละเอียดกันต่อว่า feature ที่ได้ ★ นั้น มีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่นๆ

เช่น UX ง่ายกว่า หรือ ครอบคลุมกว่า เป็นต้น

และ ถ้าหากเราอยากที่จะชนะคู่แข่งใน feature เหล่านั้น เราจะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้ชนะเขา

เท่านี้ เราก็จะรู้ได้แล้วว่า เราต้องทำอะไรเพิ่มบ้างใน features เดิมที่เรามี หรือ เราอยากมีเพื่อให้ชนะคู่แข่ง


สรุปจบ workshop วันแรก

สิ่งที่เราได้ คือ

  1. Features & Ideas: เราได้ภาพ Product ที่ตรงกัน, features ปัจจุบัน และไอเดียตั้งต้น
  2. As..Is Information: Stat, Painpoints, Costs ที่เราต้องนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น
  3. Product compatibility: ที่บอกว่า features ไหนใครเหนือกว่ากัน และถ้าอยากเอาชนะต้องทำอะไร

ทั้งหมดนี้ เราสามารถเพิ่มเข้าไปได้เรื่อยๆ เพราะว่าหลังจากนี้ เราจะไปลงรายละเอียดหา values, pick up และ prority กันต่อในวันพรุ่งนี้

บอกไว้ก่อนได้เลยว่า สิ่งที่ทำมานี้ อาจจะไม่สามารถพาเราไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ได้เวลา คิดนอกกรอบ ค้นหา ideas ใหม่ หรือ กลยุทธใหม่ๆ ได้เลย ว่าเราจะทำยังไงต่อเพื่อให้ได้เป้าหมายที่ต้องการ